เช้าวันนี้ หลายหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต่างร่วมจัดพิธีรำลึกระลึกจักรีบรมราชวงศ์ หรือ วันจักรี ณ สถานพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในแต่ละแห่ง เพื่อแสดงกตเวทิตาคุณต่อพระมหากษัตราธิราชในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกรัชกาล
โดยเฉพาะปฐมบรมราชวงศ์จักรี ที่ทรงเสด็จกรีฑาทัพถึงพระมหานคร ทรงรับอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ดำรงราชอาณาจักรสยามประเทศ ในวันที่ 6 เมษายน 2325 นับจนถึงวันนี้ 233 ปีแล้ว
ขณะที่ ประเทศไทย เวลานี้ เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง ดีกรีความร้อนแผ่ขยายบานปลายจนเกิดการแบ่งฝักฝ่ายชัดเจน ผลพวงมาจากปัญหาการบ้านการเมือง ที่ไม่สามารถหันหน้าเจรจาเข้าหากันได้ ความเดือดร้อนไม่พ้นใคร นอกจากเหล่าประชาชน และความเสียหายของประเทศชาติ
รัฐบาลทหารจึงเข้ามามีบทบาท นำทัพโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต ผบ.ทบ. เข้ายึดอำนาจการปกครอง และบริหารประเทศภายใต้การขับเคลื่อน คสช. เพื่อยุติความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองของคนในชาติ บนเส้นทางขวากหนามครหาทั้งคนในชาติ และ นานาประเทศ
และ…หลายฝ่าย ยังทวงถามถึง “ประชาธิปไตย” อยู่เนืองๆ
กฏอัยการศึก ถูกบังคับใช้ เพื่อจัดระเบียบสังคม และแก้ปัญหาความมั่นคงในประเทศ แต่ ยังไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร เพราะยังมีกลุ่มต่อต้านเคลื่อนไหว หวั่นสร้างความขัดเเย้งเพิ่ม
มาตรา 44 หรือ ม.44 จำต้องออกโรง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อเสริมทัพแทนกฏเก่า งัดไพ่ใบสุดท้าย มาใช้เร่งปฏรูปให้เสร็จในเวลาอีกไม่กี่เดือน
เปลี่ยนจาก “กระบอง” มาเป็น “ดาบ” ให้กระชับมือ
ไม่สนเสียงคนในชาติ หรือ สหประชาชาติ จะดาหน้า ออกมากระตุกปม “อำนาจล้นฟ้า” ของผู้ถือดาบ
อย่างไร ก็ต้องให้โอกาส “รัฐบาลทหาร” ทำงานเต็มที่ไปก่อน ผิดถูก ดีร้ายอย่างไร ประชาชนทั้งประเทศ จะเป็นผู้ตัดสิน
ในห้วงสถานการณ์บ้านเมือง “อึมครึม”แบบนี้ เนื่องใน “วันจักรี” ขอรำลึกย้อน ว่าเหตุใด คนไทย จึงควรรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไทย
ขอหยิบยกแนวเขียนของ “นิติภูมิ นวรัตน์” ที่ได้กล่าวไว้ในวันจักรี รณรงค์ให้หัวใจไทยรู้ประวัติเป็นมา เพื่อกตเวทิตาต่อคุณมหากษัตริย์ไทย
พ.ศ 2324 เกิดศึกทางกัมพูชา พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพไปปราบ และทรงถอดฉลองพระองค์พระราชทานให้ด้วย เหมือนกับจะเป็น
บุพนิมิตว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปในภายภาคหน้า และกาลก็เป็นจริงดังนั้น
ต่อมา เกิดการจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับสู่พระนคร บรรดาเหล่าข้าราชการและราษฎรทั้งปวงได้อัญเชิญพระองค์ให้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 เพื่อปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์สืบต่อไป ขณะนั้น พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ 48 พรรษา
หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้มีการสร้างพระนครขึ้นใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องกับกรุงธนบุรี ราชธานีเดิม และทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ปีขาล จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325
พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความผาสุก ตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม และสามารถนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นวิกฤติต่างๆมาได้ด้วยพระปรีชาสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการล่าอาณานิคม สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ฯลฯ
และที่สำคัญ ชาติรัฐที่จะอำนวยความรู้สึกมั่นคงอย่างสูงสุดให้กับประชาชนคนผู้อยู่อาศัยในอาณาเขตแดนแคว้นถิ่นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นชาติรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทราบว่าหลายประเทศในโลกของเราใบนี้มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข
อาทิ ญี่ปุ่น บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย ราชอาณาจักรภูฏาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ราชอาณาจักรบาห์เรน รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต สหรัฐอรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรสเปน ราชอาณาจักรเบลเยียม ราชอาณาจักรสวีเดน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร และราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
ขอทิ้่งท้าย ด้วยสำนึกมหากรุณาธิคุณ ยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระมหากษัตริย์ไทยสามารถปกป้องอาณาจักรไว้ถึงลูกหลานได้ เช่น สงครามพระเจ้าปะดุงของพม่ายกกองทัพมาตีมากมายถึง 7 ครั้ง และพม่ายกกำลังมาถึง 9 ทัพ หรือแม้แต่ในสมัย รัชกาลที่ 5 พวกฝรั่งมังค่า ต้องการเราเป็นอาณานิคม หลายประเทศในเอเชียกลับตกเป็นอาณานิคม ยกเว้น ประเทศไทย
ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมาจากพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีของไทยทั้งสิ้่น
หมดความนี้ ล้วนแต่ ปวงชนชาวไทย จะพินิจคิดดูเถิด เหตุใด เราจึงต้อง “รักชาติ และ พระมหากษัตริย์ ดุจดวงใจให้เท่าชีพชีวา
แกล้วนลิน
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก: MThai News
0 comments:
Post a Comment