Wednesday, April 7, 2010

Tagged Under:

ครูประสานเสียงแจง ไม่มีใครกลั่นแกล้งใส่ร้าย -

By: Unknown On: 10:10 PM
  • Share The Gag
  • ครูประสานเสียงแจง ไม่มีใครกลั่นแกล้งใส่ร้าย -ไล่ เด็ก ป.5 ออกจากโรงเรียน ระบุหลักฐานชัดผิดจริง เชิญผู้ปกครองร่วมหารือหาทางออก จนสรุปให้ย้ายโรงเรียนแต่พอถึงเวลากลับหายเงียบไม่มาติดต่อ

    จากกรณีสมาชิกเครือข่ายสังคมโซเชียลมีเดียต่างเข้าไปชมและแชร์รูปภาพนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 รายหนึ่ง ยืนถือป้ายด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย โดยมีข้อความเขียนอ้างว่า “ผม ด.ช.ตั้ม (นามสมมติ) 


    อายุ 11 ปี เป็นนักเรียนชั้นป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.สุราษฎร์ธานี โดน ผอ.ไล่ออกตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2558 ผมไม่ได้สอบปลายภาคและยังกล่าวหาว่าผมเผาโรงเรียน และ ผอ.ได้เอาคลิปมาประจานต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมถูกรังแก”ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังโรงเรียนดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผอ.ติดงานราชการที่ต่างจังหวัด ส่วนรอง ผอ.ไม่สะดวกให้ข้อมูลตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงเรียนดังกล่าว พบรองผอ.และคณะครู โดยครูผู้สอน ด.ช.ตั้ม เล่าว่า เรื่องเผาโรงเรียนนั้น ด.ช.ตั้ม ได้ก่อเหตุจริง โดยการเอาแอลกอฮอร์มาเทแล้วจุดไฟเผา ซึ่งตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร จนเพื่อนในกลุ่มสารภาพ พร้อมเอาหลักฐานมาให้เป็น แอลกอฮอลและไฟแช็ค นอกจากนั้น ด.ช.ตั้ม ยังมีการเตรียมมีดและบอกเพื่อน ๆ ว่าจะใช้แทง ผอ. เนื่องถูกตีเรื่องสูบบุหรี่และเกิดความไม่พอใจ

    ด้านรอง ผอ. กล่าวว่า ในส่วนที่เนื้อหาใจความได้มีการโพสว่า ผอ. เอาคลิปมาประจานต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นั้น ความจริงแล้ว วันดังกล่าว เป็นวันประชุมผู้ปกครอง ซึ่งทาง ผอ.เองได้มีการเล่าให้ผู้ปกครองฟัง เพื่อให้ช่วยกันดูแลบุตรหลาน ซึ่งก่อนจะเกิดเรื่องต่างๆนั้น ด.ช.ตั้ม ได้แอบสูบบุหรี่ ซึ่งทางโรงเรียนได้เรียกผู้ปกครองมาเตือน ถึง 2 ครั้ง และได้มีการบันทึกพฤติกรรมนักเรียนเอาไว้ถึง 8 เหตุการณ์ ส่วนเรื่องการไล่ออกไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ได้มีการพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งการย้ายโรงเรียน หรือ ให้บวชสามเณรเพื่อฝึกวินัย จนได้มีการทำคำร้องขอย้ายโรงเรียนในวันที่ 6 ก.พ. แต่ผู้ปกครองไม่ได้มารับเอกสารที่ทางโรงเรียนจัดไว้ และในส่วนช่วงสอบปลายภาคการศึกษา วันที่ 9-11 มี.ค. นั้น ก็ได้มีการตามตัวเด็กมาสอบแต่ ด.ช.ตั้ม ก็ไม่เดินทางมาสอบแต่อย่างใด

    ต่อมา ผอ.โรงเรียนดังกล่าวได้โพสเฟซบุ๊ก เล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและตนในฐานนะครูก็ได้หาทางออกให้หลายทางทั้งการบวช รวมถึงหาที่เรียนแห่งใหม่เพื่อเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนจะได้เปลี่ยนพฤติกรรม หรือให้มีคนมารับรองกับทางสถานศึกษาเพื่อศึกษาต่อ แต่ปรากฏว่าผู้ปกครองกลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งตนเข้าใจดี ว่าเด็กคืออนาคตของชาติ ในฐานะที่เป็นครู มา 31 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่า ครอบครัวไม่ค่อยมีเวลาให้การดูแลเอาใจใส่จึงทำให้เด็กมีปัญหามากขึ้น จึงอยากฝากให้ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่บุตรหลานให้มากขึ้น จะหวังฝากให้ครูดูแลเพียงฝ่ายเดียว 

    คงไม่เพียงพอแล้ว.

    0 comments:

    Post a Comment