ศาลไม่รับฎีกาคดีสาวซีวิคซิ่ง 9 ศพ ด้านครอบครัวผู้เสียชีวิตรับทั้งน้ำตา ที่ผ่านมาฝ่ายจำเลยไม่เคยเหลียวแล แม้แต่พูดคุยทักทาย
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ไม่รับฎีกาในคดีที่เยาวชนหญิงอายุ 18 ปี หรือ นางสาวแพรวา (นามสมมติ) ตกเป็นจำเลยในคดีความผิดฐานขับขี่รถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 9 คน

โดยศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มีคำสั่งให้ยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาจำคุกเยาวชนหญิงอายุ 18 ปี เป็นเวลา 2 ปี แต่แก้โทษให้เพิ่มเวลารอลงอาญาจาก 3 ปี เป็น 4 ปี เพิ่มเวลาบำเพ็ญประโยชน์เป็นปีละ 48 ชั่วโมง รวม 4 ปี และห้ามขับรถยนต์จนถึงอายุ 25 ปี
ด้านนางทองพูน พานทอง ญาติผู้เสียชีวิต ยอมรับในคำสั่งของศาล เพราะถือว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมถึงที่สุดแล้ว และกล่าวทั้งน้ำตาว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ญาติผู้เสียชีวิตไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากฝ่ายจำเลย จึงต้องการให้ทางฝ่ายจำเลยเข้ามาช่วยเหลือตามสมควร หรือแม้แต่เข้ามาพูดคุยกับครอบครัวผู้เสียหายบ้าง ส่วนคดีความฟ้องร้องทางแพ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับทีมทนายความ เพื่อให้คดีความทางแพ่งมีการนัดพิจารณาคดี โดยที่ผ่านมาคดีทางแพ่ง สืบพยานทั้งโจทก์และจำเลยแล้วเสร็จ

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นัดฟังคำสั่งว่าจะรับฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวแพรวพราว (นามสมมติ) เป็นจำเลยในความผิดฐานขับขี่รถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ขณะนั้นจำเลยอายุ 17 ปี ขับรถยนต์ฮอนด้าซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้โดยสารธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต -หมอชิต บนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ กระทั่งคนขับรถตู้และผู้โดยสารเสียชีวิตรวม 9 ราย
ซึ่งคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไปแล้ว โดยพิพากษายืนจำคุก 2 ปี แต่แก้โทษให้เพิ่มเวลารอลงอาญาจาก 3 ปีเป็น 4 ปี เพิ่มเวลาบำเพ็ญประโยชน์เป็นปีละ 48 ชั่วโมง รวม 4 ปี และห้ามขับรถจนอายุ 25 ปี
อย่างไรก็ตามต้องรอว่า ศาลจะอนุญาตรับอุทธรณ์ในชั้นฎีกาหรือไม่ หากศาลไม่รับจะถือว่าคดีถึงที่สุด เป็นอันยุติ
โดยศาลอยู่ระหว่างพักการพิจารณา เพื่อรอคู่ความพร้อมและโจทก์ร่วมเดินทางมาศาล เพื่อฟังคำพิพากษา
0 comments:
Post a Comment