การนำมาตรา 44 มาบังคับใช้แทนกฎอัยการศึก อาจกลายเป็นประตูสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รุนแรง ทำลายเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็นของประชาชน
งัดมาตรา44ไล่ทุบคลื่นใต้น้ำ
ตัดท่อน้ำเลี้ยงหยุด5กลุ่มป่วน
เรียงหน้ากันจัดหนัก ถล่มใส่รัฐบาลท็อปบู๊ตที่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ฉบับที่ 3/2558คุมเข้มแทนกฎอัยการศึก
ก่อนหน้านี้“พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์”อย่าง“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกฯและรมว.กลาโหมเคยบอกว่า สาเหตุที่ต้องใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก เพราะสหประชาชาติบอกให้รัฐบาลลองคิดดูว่าจะใช้กฎหมายอื่นแทนกฎอัยการศึกได้หรือไม่ โดยเขาก็เห็นใจว่าบ้านเมืองเราอยู่ในขั้นวิกฤติต้องแก้ไขปัญหา และต้องใช้กฎหมายพิเศษ
แต่ทันทีที่ คสช. ออกประกาศฉบับที่ 3/2558 บรรดาองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสหประชาชาติ ร่วมกันสหบาทา รุมเขย่า รัฐบาลท็อปบู๊ตทันควัน
ทั้ง องค์กรข้าหลวงใหญ่ประจำสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ถึงกับประกาศว่า การนำมาตรา 44 มาบังคับใช้แทนกฎอัยการศึก อาจกลายเป็นประตูสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รุนแรง ทำลายเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็นของประชาชน หมายความว่ารัฐบาลไทยกำลังรวมอำนาจทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเอง ทำให้การยกเลิกกฎอัยการศึกแทบไร้ความหมาย
ตามมาด้วยพี่เบิ้มอย่างกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่ยังกังขาถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร การควบคุมตัวชั่วคราว ที่ยังคงจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยคืนอิสรภาพให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง
ส่วน “ฮิวแมน ไรท์ วอทช์” ไม่น้อยหน้า รุมกระหน่ำรุนแรงบอกสถานการณ์การเมืองไทยเข้าใกล้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการมากขึ้นทุกขณะ ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในเรื่องนี้เป็นเพียงภาพลวงตาทางการเมืองเท่านั้น เพราะมาตรา 44 แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากกฎอัยการศึกแม้แต่น้อย
ขณะที่ขาประจำพลพรรคการเมือง ดาหน้าฉะกฎเหล็ก ระบุส่อแววเผด็จการ เป็นตัวปลุกแรงต้านต่างชาติ พร้อมเตือน คสช.ระวังติดกับดักอำนาจ
งานนี้“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ”รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตีโจทย์แตกเจาะลึกถึงรากของประกาศ คสช. ตามมาตรา 44 ว่า แม้จะมีการปรับโฉมลดดีกรีความเข้มข้นลงโดยออกมาเป็นรูปแบบของคำสั่งหัวหน้า คสช. แต่ก็มีการมอบอำนาจให้นายทหารที่มีชั้นยศตั้งแต่ ร้อยตรี เรือตรี หรือ เรืออากาศตรีขึ้นไปร่วมใช้อำนาจ ต่างจากกฎอัยการศึกที่ระบุให้ผู้ใช้อำนาจเป็นระดับ ผบ.พัน และแม่ทัพภาค
คำสั่งนี้จึงเป็นการอัพเกรดให้นายทหารยศ ร.ต. มีอำนาจมากกว่าตำรวจระดับ ผบก.จังหวัดเสียด้วยซ้ำ โดยมีอำนาจตรวจค้น จับกุมโดยไม่ต้องมีหมายศาล คุมตัวหรือขังได้ 7 วัน ไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล และยัง อัพเลเวล ปิดสื่อที่ปลุกระดมบิดเบือนได้อีกต่างหาก โดยผู้ฝ่าฝืนระวางโทษทั้งจำทั้งปรับ
ร้อนถึง“กูรูกฎหมาย”อย่างวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีต้องลุกขึ้นเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประกาศหัวหน้า คสช. กับการใช้กฎอัยการศึกว่า แสดงว่าสถานการณ์ในประเทศไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อัยการศึกอีกต่อไป ช่วยลดความหวาดระแวงในประชาคมโลก และเมื่อยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึก จะกลับมาเป็นศาลทหารในเวลาปกติ คดีที่ตัดสินในศาลทหารชั้นต้นแล้วสามารถอุทธรณ์ต่อศาลทหารกลาง และฎีกาต่อศาลทหารสูงสุดได้ หมายความว่าตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. จะเปิดให้มีการต่อสู้คดีถึง 3 ศาล
“อ.วิษณุ”ยังบอกถึงสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศเขย่าขวัญคนไทยด้วยว่า จากการประเมินของ“สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ”รมต.สำนักนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติระบุ มี 5 สถานการณ์ร้อนที่ไม่น่าไว้วางใจ คือ
1.การสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีต 2.กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม และก่อความไม่สงบขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ 3.กลุ่มที่รู้ว่ากำลังจะเข้าโรดแม็พระยะที่ 3 คือเตรียมจะจัดการเลือกตั้ง การประกาศใช้รัฐธรรมนูญอาจก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบางพื้นที่ เป็นกลุ่มที่ฉวยโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต
4.กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่เรียบร้อย โดยไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่มีเจตนาเรื่องอื่นและ 5. กลุ่มที่รู้สึกว่าได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นกลุ่มสุจริต ไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่อาจจะระบายโดยการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากนัก
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ประกาศกร้าวว่า ตอนนี้มีการล็อบบี้ให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล โดยใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” และใช้คำว่า “กฎอัยการศึก” ในการคุกคามชีวิต หากคนเหล่านั้นยังมาปรามาส ก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะทุกคนมีแผล
“ที่ผ่านมาผมได้บอกกับต่างประเทศว่า ขอเวลาให้คนไทย แต่พอเริ่มทำก็มีปัญหา เพราะเขาไม่รู้ เห็นเพียงว่าบ้านเมืองเราสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นโพรงทั้งสิ้น ตอนนี้เรากำลังเติมอิฐเติมทราย แต่กลับมีคนเอาน้ำมาราดตอนที่ยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ ต้องใช้กฎหมายดำเนินการ ผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็จะไม่เกรงใจใคร เพราะผมทำให้ประเทศ ฉะนั้นคนที่ต่อต้านลองไปดูมีเบื้องหลังทั้งนั้น ผมไม่เคยละเมิดใคร และตั้งแต่ประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือมาตรา 44 ก็ไม่เคยมีคนตาย มีแต่คนที่ใช้อาวุธต่อสู้เจ้าหน้าที่ ฉะนั้นอย่าให้มากเกินไป”
สายข่าววงในแจ้งมาว่า ตอนนี้ในมวลหมู่คนเสื้อแดงตกอยู่ในอาการกระอักเลือด และมองทะลุถึงปรากฏการณ์ไล่ทุบคลื่นใต้น้ำ ล่าสุดมีเคสใหญ่ ๆ ให้จับจ้อง ทั้งการไล่ตรวจสอบที่ดิน“โบนันซ่า”เขาใหญ่ ของ“ไพวงษ์ เตชะณรงค์”ในข้อกล่าวหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า“โบนันซ่า”เขาใหญ่ ถูกใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตของกลุ่ม นปช. หลายครั้ง
ทั้งการไล่ล่าปิดทีวีแดง 2 ช่อง เดินหน้าตัดท่อน้ำเลี้ยง ที่ปรากฏข่าว การสึกกะทันหันของ“พระอาจารย์เพชร”พระครูวินัยธร (พชร) ฐานกโรที่ลือกันให้แซดว่า เป็นแหล่งทุนให้กับทีวีคนเสื้อแดง และมีความสัมพันธ์ชิดเชื้อกับ“ตู่”จตุพร พรหมพันธุ์ได้เคยเป็นเจ้าพิธีปลุกเสกสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ ที่เชิงเขาใหญ่ โดย“พระอาจารย์เพชร”ยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวคนสำคัญของกลุ่มเสื้อแดงมาตลอด
ด้าน“นายหญิง”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอ่านเกมขาด จ่องดโชว์ตัว แถมมีข่าวสะพัดวางเกมจ่อลี้ภัยในเร็ว ๆ นี้อีกต่างหาก
งานนี้ฟันธง ม. 44 เป็นแผนปรับกระบวนทัพอัพเลเวล กดหัวคลื่นใต้น้ำไม่ให้โผล่ขึ้นมาหลอนได้อีก.
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก: dailynews
0 comments:
Post a Comment