Thursday, May 6, 2010

Tagged Under:

ธุรกิจก๊าซหุงต้ม ๒

By: Unknown On: 7:28 AM
  • Share The Gag
  •   ตอนที่แล้วได้เกริ่นนำเรื่องธุรกิจก๊าซหุงต้มเป็นธุรกิจที่ใหญ่ระดับ 6-7 หมื่นล้านบาท ก็อยากจะแบ่งออกตามตลาด

    ง่ายๆ เป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ
                 -กลุ่มครัวเรือนซึ่งมีตลาดใหญ่ที่สุด ประมาณ 60%
                 -กลุ่มรถยนต์เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่รองลงมาน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 25-30%   
                
     -และกลุ่มอุตสาหกรรมประมาณ 10-15%
           ทั้ง 3 ตลาดยังมีอัตราการขยายตัวทุกๆปี  ทั้งนี้การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ การขยายตัวของของครัวเรือน  และที่สำคัญคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาสูงขึ้น และจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ราคาของก๊าซหุงต้มถูกควบคุมไว้ไม่ให้ราคาขึ้น โยรัฐบาลใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นตัวช่วยในการชดเชย    ในสมัยราคาน้ำมันเบนซินราคา 10-15 บาท ประเทศไทยมีก๊าซหุงต้มที่ผลิตได้ในประเทศมาเป็นสินค้าส่งออก เนื่องจากอุปทานหรือการผลิตมีมากกวาอุปสงค์หรือความต้องการ  แต่เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาระดับ 20-30 บาท ทำให้ก๊าซหุงต้มได้รับความนิยมมากขึ้น
    ทั้งในรถยนต์ และภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นพลังงานที่ดีและราคาถูก 

           ทั้ง 3 ตลาดที่พูดถึง  ราคาขายปลีก ทางด้านตลาดรถยนต์ขายได้ราคาสูงสุดคือ กิโลกรัมละ 21-22 บาท (10.50-11.50 บาทต่อลิตร: 1 กิโลกรัม=1.9 ลิตร)  ดังนั้นตลาดนี้เป็นตลาดที่สามารถทำกำไรได้สูง เพราะผู้บริโภคสมัครใจ  

    เนื่องจากได้ราคาที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน  บางท่านมองว่าคนที่ใช้รถยนต์แล้วเติมน้ำมัน เป็นผู้ช่วยเหลือให้คนที่ใช้รถยนต์ LPG ได้ราคาถูก ซึ่งแต่เดิมก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ LPG คือรถยนต์สาธารณะคือ Taxi ซึ่งก็ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับประโยชน์จากราคาค่าโดยสารต่ำ แต่ปัจจุบันผู้ใช้รถยนต์ LPG เป็นคนทั่วๆไปที่ต้องการประหยัด   อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ค้าปั้มก๊าซ LPG ก็จะมีความเสี่ยงทางด้านการลงทุนที่สูง 



           รองลงมาคือตลาดค้าปลีก คือร้านค้าก๊าซหุงต้ม  ที่ถูกให้กำหนดขายที่ประมาณ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถ้าถัง 15 กิโลกรัมก็ประมาณ 290 บาท  บางรายก็มีค่าส่ง 10-20 บาทต่อถัง   อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้การลงทุนไม่สูงมาก  แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เป็นสัดส่วนสูง เพราะต้องขนถังเปล่าไปบรรจุที่โรงบรรจุก๊าซ  และต้องขนส่งไปถึงผู้
    บริโภคที่อยู่กระจายตามพื้นที่ต่างๆ   การขายจะถูกจำกัดโดยพื้นที่และแรงงานในการจัดส่ง กลุ่มค้าร้านก๊าซส่วนใหญ่จะทำเป็นลักษณะครอบครัว คล้ายๆกับธุรกิจโชห่วยในอดีต  คือยังไม่มีการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานสากล  ดังนั้นร้านค้าแต่ละแห่งจะมีข้อจำกัดในการทำธุรกิจ คือขยายตัวได้ไม่มาก พัฒนาน้อย และไม่เป็นระบบ

          ดังนั้นเราจะเห็นร้านค้าก๊าซ เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอันตรายในสายตาประชาชนทั่วไป  เพราะการพัฒนาที่ต่ำ ร้านไม่สดใส เป็นระเบียบ ทั้งพนักงาน รถจักรยนยนต์ ก็ไม่เป็นมาตรฐานที่ดีถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นๆที่มีการพัฒนารูปแบบสู่ความเป็นสากล  ถ้าเทียบธุรกิจโชห่วยแล้วยังมีการพัฒนาเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่ทันสมัย มีระบบ วางสินค้าอย่างเป็นระเบียบ มีมาตรฐานราคา ติดแอร์เย็นช่ำ ยอดขายแต่ละร้านก็น่าจะเพิ่มจากเดิมที่เป็นโชห่วย  มีแต่คนอยากเป็นเจ้าของ  และที่สำคัญเจ้าของร้านเองก็ไม่ต้องมาทำงานหนัก  มีพนักงงานที่ทำงานได้ เจ้าของเองเลยเป็นลักษณะนักลงทุน มองหาโอกาส และทำเลที่จะเปิดต่อร้านเพิ่ม

             ถ้าเทียบกับร้านค้าก๊าซถือได้ว่ายังไม่พัฒนา เห็นมากี่สิบปี ก็ยังเหมือนเดิม……เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะอะไรที่ยังไม่เปลี่ยน….จะอยู่รอดได้อย่างไร……และถ้าเปลี่ยน..จะเปลี่ยนอย่างไร…..ถ้าเปลี่ยนจะดีขึ้นไหม?   และที่สำคัญสุด…..ผู้บริโภคจะได้รับอะไรที่ดีขึ้น  ซึ่งในตอนต่อๆไปจะมาจินตนาการให้ฟังว่า  เราจะเปลี่ยนรกิจนี้ให้น่าสนใจอย่างไร?…

              สำหรับตลาดกลุ่มอุตสาหกรรม ก็เป็นกลุ่มที่น่าสนใจเพราะเป็นตลาดน้อยราย  ดังนั้นแต่ละรายก็จะสร้างยอดขายได้สูง  โดยทั่วไปก็จะเป็นตลาดของพวกผู้ค้า มาตรา 7 ที่มีขนาดใหญ่เป็นเจ้าของแบรนด์   มีเงินลงทุนสง มีคลังจัดเก็บของตัวเอง  เช่น ปตท. เวิลด์ก๊าซ สยามแก๊ส ยูนิค  เพราะกลุ่มดังกล่าวสามารถนำเข้าและส่งออก LPG ได้ถูกต้องตามกฎหมาย    แต่ถ้าสามารถที่จข้าไปมีส่วนร่วมก็น่าจะเป็นธุรกิจทางด้านขนส่ง  เนื่องจาก ผู้ค้าเองอยากจะ Outsourcing ต้นทุนการขนส่ง และความเสี่ยงต่างๆ และการลงทุนออกไป

               สำหรับธุรกิจก๊าซหุงต้มเอง ในแง่มุมของผู้ประกอบการทั่วๆไป ก็น่าจะมี 2 กลุ่มแรก คือ ธุรกิจปั้ม LPG   และ ธุรกิจร้านค้าก๊าซ  เพราะทั้งสองกลุ่มดังกล่าว  ก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป  มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่แตกต่างกัน


    ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ http://www.citigaz.net/?p=125

    0 comments:

    Post a Comment