ตอนที่แล้วได้เกริ่นนำเรื่องธุรกิจก๊าซหุงต้มเป็นธุรกิจที่ใหญ่ระดับ 6-7 หมื่นล้านบาท ก็อยากจะแบ่งออกตามตลาด
ง่ายๆ เป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ
-กลุ่มครัวเรือนซึ่งมีตลาดใหญ่ที่สุด ประมาณ 60%
-กลุ่มรถยนต์เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่รองลงมาน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 25-30%
-กลุ่มครัวเรือนซึ่งมีตลาดใหญ่ที่สุด ประมาณ 60%
-กลุ่มรถยนต์เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่รองลงมาน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 25-30%
-และกลุ่มอุตสาหกรรมประมาณ 10-15%
ทั้ง 3 ตลาดยังมีอัตราการขยายตัวทุกๆปี ทั้งนี้การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ การขยายตัวของของครัวเรือน และที่สำคัญคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาสูงขึ้น และจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาของก๊าซหุงต้มถูกควบคุมไว้ไม่ให้ราคาขึ้น โยรัฐบาลใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นตัวช่วยในการชดเชย ในสมัยราคาน้ำมันเบนซินราคา 10-15 บาท ประเทศไทยมีก๊าซหุงต้มที่ผลิตได้ในประเทศมาเป็นสินค้าส่งออก เนื่องจากอุปทานหรือการผลิตมีมากกวาอุปสงค์หรือความต้องการ แต่เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาระดับ 20-30 บาท ทำให้ก๊าซหุงต้มได้รับความนิยมมากขึ้น
ทั้ง 3 ตลาดยังมีอัตราการขยายตัวทุกๆปี ทั้งนี้การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ การขยายตัวของของครัวเรือน และที่สำคัญคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาสูงขึ้น และจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาของก๊าซหุงต้มถูกควบคุมไว้ไม่ให้ราคาขึ้น โยรัฐบาลใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นตัวช่วยในการชดเชย ในสมัยราคาน้ำมันเบนซินราคา 10-15 บาท ประเทศไทยมีก๊าซหุงต้มที่ผลิตได้ในประเทศมาเป็นสินค้าส่งออก เนื่องจากอุปทานหรือการผลิตมีมากกวาอุปสงค์หรือความต้องการ แต่เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาระดับ 20-30 บาท ทำให้ก๊าซหุงต้มได้รับความนิยมมากขึ้น
ทั้งในรถยนต์ และภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นพลังงานที่ดีและราคาถูก
ทั้ง 3 ตลาดที่พูดถึง ราคาขายปลีก ทางด้านตลาดรถยนต์ขายได้ราคาสูงสุดคือ กิโลกรัมละ 21-22 บาท (10.50-11.50 บาทต่อลิตร: 1 กิโลกรัม=1.9 ลิตร) ดังนั้นตลาดนี้เป็นตลาดที่สามารถทำกำไรได้สูง เพราะผู้บริโภคสมัครใจ
เนื่องจากได้ราคาที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน บางท่านมองว่าคนที่ใช้รถยนต์แล้วเติมน้ำมัน เป็นผู้ช่วยเหลือให้คนที่ใช้รถยนต์ LPG ได้ราคาถูก ซึ่งแต่เดิมก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ LPG คือรถยนต์สาธารณะคือ Taxi ซึ่งก็ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับประโยชน์จากราคาค่าโดยสารต่ำ แต่ปัจจุบันผู้ใช้รถยนต์ LPG เป็นคนทั่วๆไปที่ต้องการประหยัด อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ค้าปั้มก๊าซ LPG ก็จะมีความเสี่ยงทางด้านการลงทุนที่สูง
บริโภคที่อยู่กระจายตามพื้นที่ต่างๆ การขายจะถูกจำกัดโดยพื้นที่และแรงงานในการจัดส่ง กลุ่มค้าร้านก๊าซส่วนใหญ่จะทำเป็นลักษณะครอบครัว คล้ายๆกับธุรกิจโชห่วยในอดีต คือยังไม่มีการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานสากล ดังนั้นร้านค้าแต่ละแห่งจะมีข้อจำกัดในการทำธุรกิจ คือขยายตัวได้ไม่มาก พัฒนาน้อย และไม่เป็นระบบ
ดังนั้นเราจะเห็นร้านค้าก๊าซ เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอันตรายในสายตาประชาชนทั่วไป เพราะการพัฒนาที่ต่ำ ร้านไม่สดใส เป็นระเบียบ ทั้งพนักงาน รถจักรยนยนต์ ก็ไม่เป็นมาตรฐานที่ดีถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นๆที่มีการพัฒนารูปแบบสู่ความเป็นสากล ถ้าเทียบธุรกิจโชห่วยแล้วยังมีการพัฒนาเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่ทันสมัย มีระบบ วางสินค้าอย่างเป็นระเบียบ มีมาตรฐานราคา ติดแอร์เย็นช่ำ ยอดขายแต่ละร้านก็น่าจะเพิ่มจากเดิมที่เป็นโชห่วย มีแต่คนอยากเป็นเจ้าของ และที่สำคัญเจ้าของร้านเองก็ไม่ต้องมาทำงานหนัก มีพนักงงานที่ทำงานได้ เจ้าของเองเลยเป็นลักษณะนักลงทุน มองหาโอกาส และทำเลที่จะเปิดต่อร้านเพิ่ม
ถ้าเทียบกับร้านค้าก๊าซถือได้ว่ายังไม่พัฒนา เห็นมากี่สิบปี ก็ยังเหมือนเดิม……เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะอะไรที่ยังไม่เปลี่ยน….จะอยู่รอดได้อย่างไร……และถ้าเปลี่ยน..จะเปลี่ยนอย่างไร…..ถ้าเปลี่ยนจะดีขึ้นไหม? และที่สำคัญสุด…..ผู้บริโภคจะได้รับอะไรที่ดีขึ้น ซึ่งในตอนต่อๆไปจะมาจินตนาการให้ฟังว่า เราจะเปลี่ยนรกิจนี้ให้น่าสนใจอย่างไร?…
สำหรับตลาดกลุ่มอุตสาหกรรม ก็เป็นกลุ่มที่น่าสนใจเพราะเป็นตลาดน้อยราย ดังนั้นแต่ละรายก็จะสร้างยอดขายได้สูง โดยทั่วไปก็จะเป็นตลาดของพวกผู้ค้า มาตรา 7 ที่มีขนาดใหญ่เป็นเจ้าของแบรนด์ มีเงินลงทุนสง มีคลังจัดเก็บของตัวเอง เช่น ปตท. เวิลด์ก๊าซ สยามแก๊ส ยูนิค เพราะกลุ่มดังกล่าวสามารถนำเข้าและส่งออก LPG ได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้าสามารถที่จข้าไปมีส่วนร่วมก็น่าจะเป็นธุรกิจทางด้านขนส่ง เนื่องจาก ผู้ค้าเองอยากจะ Outsourcing ต้นทุนการขนส่ง และความเสี่ยงต่างๆ และการลงทุนออกไป
สำหรับธุรกิจก๊าซหุงต้มเอง ในแง่มุมของผู้ประกอบการทั่วๆไป ก็น่าจะมี 2 กลุ่มแรก คือ ธุรกิจปั้ม LPG และ ธุรกิจร้านค้าก๊าซ เพราะทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่แตกต่างกัน
ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ http://www.citigaz.net/?p=125
0 comments:
Post a Comment